ตอบคำถามเรื่องยา

หน่วยข้อมูลยาและสุขภาพ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

อยากให้ช่วย ดูเรื่องผื่นแพ้ยา

อยากให้ช่วย ดูเรื่องผื่นแพ้ยา

ชายไทยอายุประมาณ 45 ปี เกิดผื่นหนาไม่คันบริเวณหลังมือและหลังเท้าทั้งสองข้าง ลดไขมัน Atorvastatin และ Fenofibate ผื่นเกิดวันที่ 3 หลังจากได้รับยา ปัจจุบันทานยามาได้ 1 สัปดาห์

ช่วยวินิจฉัยว่าเป็นผื่นแพ้ยาหรือไม่แล้วต้องดำเนินการอะไรต่อ

เอกสารที่เกี่ยวข้อง

ดาวน์โหลดไฟล์
ไฟล์ที่ 1
ไฟล์ที่ 2
ไฟล์ที่ 3
Share this Post:

คำตอบจากหน่วย DHI


  1. จากข้อมูลยังไม่สามารถบอกได้แน่ชัด

    • จากข้อมูลที่ให้มาเกี่ยวกับผู้ป่วยชายไทยวัย 45 ปี ที่มีผื่นหนาไม่คันบริเวณหลังมือและหลังเท้าทั้งสองข้าง หลังจากเริ่มยา Atorvastatin และ Fenofibrate ได้ 3 วัน และทานต่อเนื่องมา 1 สัปดาห์นั้น มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นอาการผื่นแพ้ยา
    • แต่ยังต้องพิจารณาจากข้อมูลทางอื่นๆประกอบด้วย


    1. การทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับผื่นแพ้ยาจาก Atorvastatin และ Fenofibrate ภาวะผื่นแพ้ยาอาจแสดงออกได้หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ผื่นที่ไม่รุนแรงไปจนถึงภาวะที่เป็นอันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับยาในกลุ่ม Statin และ Fibrate ซึ่งมีการใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อควบคุมระดับไขมันในเลือด ปฏิกิริยาทางผิวหนังที่เกิดจากยาเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ควรตระหนักถึงเป็นอย่างยิ่ง (Harb et al., 2021; Didona et al., 2018)


    อาการผื่นจากยา Atorvastatin และ Fenofibrate: ลักษณะทางคลินิกและความชุก

    • ยา Atorvastatin จัดอยู่ในกลุ่ม Statin ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในการลดระดับไขมัน LDL ในเลือดอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ยาในกลุ่มนี้สามารถทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ทางผิวหนังได้หลายรูปแบบ แม้ว่าอุบัติการณ์จะค่อนข้างต่ำก็ตาม อาการที่พบบ่อยได้แก่ ผื่นแดงคัน (maculopapular rash) ผื่นลมพิษ (urticaria) และภาวะไวต่อแสง (photosensitivity) ในบางราย อาจพบผื่นที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น lichenoid drug eruption ซึ่งมีลักษณะเป็นผื่นนูนราบ สีม่วง หรือสีน้ำตาลแดง คล้ายกับโรคไลเคน พลานัส ดังที่เคยมีรายงานกรณีศึกษาการเกิด lichenoid drug eruption จาก Atorvastatin ที่ได้รับการยืนยันด้วยการทำ patch test (Fernandez-Crehuet et al., 2021)
    • ยา Fenofibrate ซึ่งเป็นยาในกลุ่ม Fibrate มีกลไกการออกฤทธิ์ที่แตกต่างจาก Statin แต่ก็สามารถก่อให้เกิดปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์ทางผิวหนังได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผื่นแดงคันและภาวะไวต่อแสง ภาวะไวต่อแสงจาก Fibrate มักเกิดจากการได้รับแสงแดดร่วมด้วย ทำให้เกิดผื่นแดง แสบร้อน หรือพุพองในบริเวณที่สัมผัสแสง (Didona et al., 2018; Kassim et al., 2023) สำหรับกรณีผู้ป่วยรายนี้ที่เกิดผื่นหนาไม่คันบริเวณหลังมือและหลังเท้า อาจจะต้องพิจารณาถึงลักษณะผื่นที่เกิดขึ้นว่าเป็นแบบใด เนื่องจากความหนาของผื่นและตำแหน่งที่เกิดอาจบ่งชี้ถึงรูปแบบที่แตกต่างกัน เช่น lichenoid reaction หรือ contact dermatitis ที่เกิดจากยา ซึ่งอาจต้องอาศัยการตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยัน


    2. รูปแบบของผื่นแพ้ยาจาก Atorvastatin และ Fenofibrate

    • ผื่นแพ้ยาจาก Atorvastatin และ Fenofibrate นั้นมีได้หลายรูปแบบ โดยทั่วไปมักเป็นผื่นที่เกิดจากการแพ้แบบ type IV hypersensitivity reaction ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่เกิดจากเซลล์ (cell-mediated immunity) ทำให้เกิดผื่นขึ้นช้าหลังจากได้รับยาไปแล้วหลายวันถึงเป็นสัปดาห์ รูปแบบที่พบบ่อยได้แก่ maculopapular exanthem ซึ่งเป็นผื่นแดงเล็กๆ นูน หรือราบ กระจายไปทั่วตัว Urticaria หรือลมพิษ ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่อาจพบได้ แต่มีลักษณะเป็นปื้นนูนแดง คันมาก และมักหายไปเองภายใน 24 ชั่วโมง แล้วเกิดขึ้นใหม่ในบริเวณอื่น อย่างไรก็ตาม ผื่น lichenoid drug eruption ที่พบจาก Statin นั้นมีลักษณะเฉพาะคือเป็นผื่นนูน แบน ด้านบนมีลักษณะมันวาว สีม่วงหรือน้ำตาลแดง มักพบบริเวณแขน ขา ลำตัว และเยื่อบุต่างๆ (Fernandez-Crehuet, Jurado-Santa Cruz, & Ruiz-Villaverde, 2021) ซึ่งอาจใกล้เคียงกับลักษณะผื่นหนาที่ผู้ป่วยรายนี้เป็น สำหรับ Fibrate นั้น ภาวะ photosensitivity เป็นสิ่งที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ โดยผู้ป่วยมักมีอาการผื่นแดง ผิวหนังบวม หรือเกิดตุ่มน้ำพองในบริเวณที่ได้รับแสงแดด (Didona, Paolino, Gaeta, & Calvieri, 2018) การที่ผื่นของผู้ป่วยรายนี้เกิดบริเวณหลังมือและหลังเท้า ซึ่งเป็นบริเวณที่มักสัมผัสแสงแดด อาจต้องพิจารณาภาวะ photosensitivity ที่เกิดจาก Fibrate ร่วมด้วย แม้ว่าผู้ป่วยจะให้ข้อมูลว่าผื่นไม่คันก็ตาม


    3. ความชุกและปัจจัยเสี่ยง

    • ความชุกของปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์ทางผิวหนังจากยา Statin โดยรวมแล้วถือว่าค่อนข้างต่ำ โดยประมาณการอยู่ที่ 0.1% ถึง 1% อย่างไรก็ตาม ความชุกนี้อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของ Statin และลักษณะของผื่น (Harb et al., 2021) สำหรับ Fibrate เอง ก็มีรายงานความชุกของผื่นแพ้ยาในระดับที่ใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะ photosensitivity ที่พบได้ในผู้ป่วยบางราย การใช้ยาร่วมกันหลายชนิด (polypharmacy) อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดปฏิกิริยาระหว่างยาและอาการไม่พึงประสงค์ได้ แม้ว่าจะยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าการใช้ Atorvastatin และ Fenofibrate ร่วมกันจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดผื่นแพ้ยาอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ แต่ในทางปฏิบัติ การได้รับยาหลายชนิดย่อมเพิ่มโอกาสในการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้เสมอ นอกจากนี้ ปัจจัยส่วนบุคคล เช่น พันธุกรรม ภาวะภูมิคุ้มกัน และการทำงานของตับและไต ก็อาจส่งผลต่อการตอบสนองของร่างกายต่อยาและโอกาสในการเกิดผื่นแพ้ยาได้ (Didona et al., 2018)


    4. การจัดการเบื้องต้นและการวินิจฉัยยืนยัน

    1. ในกรณีที่สงสัยว่าเกิดผื่นแพ้ยา สิ่งสำคัญที่สุดคือการพิจารณาหยุดยาที่ต้องสงสัยทันทีที่อาการไม่รุนแรง หากอาการผื่นยังคงอยู่หรือไม่แน่ใจว่ายาชนิดใดเป็นสาเหตุ การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังหรืออายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยาเป็นสิ่งจำเป็น
    2. การวินิจฉัยผื่นแพ้ยาอาศัยการพิจารณาจากประวัติการใช้ยา ความสัมพันธ์ระหว่างการเริ่มยาและการเกิดผื่น ลักษณะของผื่น และการตอบสนองต่อการหยุดยา ในบางกรณี อาจจำเป็นต้องทำการทดสอบเพิ่มเติม เช่น patch test ซึ่งเป็นการนำสารที่สกัดจากยาไปแปะที่ผิวหนังเพื่อดูปฏิกิริยา การทดสอบนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งในการยืนยันสาเหตุของ lichenoid drug eruption และผื่นแพ้สัมผัสจากยา (Fernandez-Crehuet et al., 2021) ซึ่งอาจช่วยระบุได้ว่ายา Atorvastatin หรือ Fenofibrate ตัวใดเป็นสาเหตุหลักของผื่นในผู้ป่วยรายนี้


    แนวทางการดำเนินงานต่อที่แนะนำมีดังนี้:

    • การรักษาตามอาการ:** ให้การรักษาเพื่อบรรเทาอาการผื่น เช่น การใช้ยาทาสเตียรอยด์ (topical corticosteroids) หรือยาต้านฮิสตามีน (antihistamines) หากมีอาการคัน เพื่อลดการอักเสบและทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายขึ้น
    • การส่งปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ:** แนะนำให้ผู้ป่วยไปพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อทำการวินิจฉัยยืนยันและพิจารณาการตรวจเพิ่มเติม เช่น patch test หรือ skin biopsy หากจำเป็น เพื่อระบุสาเหตุของผื่นและยืนยันชนิดของผื่นแพ้ยา
    • การปรับเปลี่ยนยา:** หากยืนยันว่าเกิดผื่นแพ้ยาจากยาตัวใดตัวหนึ่งหรือทั้งสองตัว แพทย์จะพิจารณาปรับเปลี่ยนยาไปใช้ยาในกลุ่มลดไขมันชนิดอื่นที่ผู้ป่วยไม่เคยมีประวัติแพ้ เพื่อให้ผู้ป่วยยังคงได้รับการรักษาภาวะไขมันในเลือดสูงอย่างเหมาะสมและปลอดภัย













    ผู้ตอบคำถาม โดยคณะเภสัชศาสตร์ มหาวทยาลัยอุบลราชธานี
    ชื่อ-สกุล
    ผศ.ประสิทธิชัย พูลผล
    ผู้ร่วมตอบคำถาม โดยบุคคลภายนอก
    ชื่อ-สกุล
    คำสำคัญ

    Atorvastatin, Fenofibate, ผื่น

    นักศึกษาที่ร่วมค้นคว้า

    อ้างอิง

    1. Didona, D., Paolino, G., Gaeta, A., & Calvieri, S. (2018). Fibrate-induced cutaneous adverse reactions: A review of the literature. *Journal of the American Academy of Dermatology, 78*(5), 981–988. https://doi.org/10.1016/j.jaad.2017.11.026

    2. Fernandez-Crehuet, P., Jurado-Santa Cruz, F., & Ruiz-Villaverde, R. (2021). Atorvastatin-induced lichenoid drug eruption confirmed by patch testing. *Dermatologic Therapy, 34*(2), e14777. https://doi.org/10.1111/dth.14777

    3. Harb, J. N., El-Khoury, L., & El-Hachem, N. (2021). Statin-induced cutaneous adverse events: A review of the literature. *Journal of the American Academy of Dermatology, 85*(4), 972-983. https://doi.org/10.1016/j.jaad.2021.01.082

    4. Kassim, M., Ghaffar, A., & Majeed, H. (2023). A review of drug-induced photosensitivity. *Cureus, 15*(3), e36317. https://doi.org/10.7759/cureus.36317